Edge Computing คืออะไร? ความแตกต่างจาก Cloud Computing ทั่วไปอย่างไร 

มีคำหนึ่งในยุคนี้คือ “Data Is The New Oil” ซึ่งเปรียบความสำคัญของข้อมูลในศตวรรษนี้ กับความสำคัญของน้ำมันในยุคอุตสาหกรรม โดยสื่อว่าข้อมูลได้กลายเป็นทรัพยากรที่มีค่าและจำเป็นอย่างยิ่งในปัจจุบัน ซึ่งข้อมูลได้กลายเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดสำหรับบริษัทชั้นนำระดับโลกไม่ว่าจะ Apple, Amazon, Facebook และ Google ก็เป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล  
 
ในขณะเดียวกัน การผสานรวม AI เข้ากับ Edge Computing ก่อให้เกิดแนวคิด “AI at the Edge” ซึ่งนำความสามารถในการเรียนรู้และตัดสินใจของ AI มาใช้ อีกทั้งเมื่อข้อมูลมีมากขึ้น จึงเกิดความต้องการการประมวลผลแบบเรียลไทม์และการลดความหน่วงของข้อมูลก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ นี่คือจุดที่ Edge Computing เข้ามามีบทบาทสำคัญ โดยบทความนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับทั้ง Cloud Computing, AI at the Edge และ Edge Computing กันมากยิ่งขึ้นพร้อมแล้วไปกันเลย! 

Cloud Computing มีประวัติความเป็นมาย้อนไปถึงทศวรรษ 1960 เมื่อแนวคิดการใช้งานคอมพิวเตอร์แบบไทม์แชริ่งเริ่มเป็นที่นิยม โดยผู้ใช้สามารถส่งงานไปประมวลผลบนเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ได้ และในปี 1996 บริษัท Compaq ได้ใช้คำว่า “Cloud Computing” เพื่อให้บริการจัดเก็บไฟล์ออนไลน์ จนกระทั่งในช่วงปี 2000 Cloud Computing เริ่มเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนขึ้น โดยในปี 2002 Amazon ได้เปิดตัว Amazon Web Services (AWS) ซึ่งเป็นการให้บริการ Cloud Computing ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการให้บริการทรัพยากรคอมพิวเตอร์ผ่านอินเทอร์เน็ต โดยผู้ใช้สามารถเข้าถึงและใช้งานทรัพยากรต่างๆ เช่น เซิร์ฟเวอร์ พื้นที่จัดเก็บข้อมูล ฐานข้อมูล เครือข่าย ซอฟต์แวร์ และบริการอื่นๆ ได้ตามความต้องการ 

เหตุผลในการคิดค้น Cloud Computing

  1. ลดต้นทุนในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT ขององค์กร 
  2. เพิ่มความยืดหยุ่นในการปรับขนาดทรัพยากรตามความต้องการ  
  3. ลดความซับซ้อนในการดูแลระบบและบำรุงรักษา 
  4. เพิ่มประสิทธิภาพและความเร็วในการทำงาน 
  5. รองรับการเข้าถึงและใช้งานจากทุกที่ทุกเวลา 

Edge Computing หมายถึงการประมวลผลข้อมูลและการจัดเก็บข้อมูลที่เกิดขึ้นใกล้กับแหล่งกำเนิดข้อมูลหรืออุปกรณ์ที่สร้างข้อมูล5 แนวคิดนี้เริ่มใช้ในช่วงทศวรรษ 1990 เพื่ออธิบายเครือข่ายการส่งมอบเนื้อหา (Content Delivery Networks) ที่ช่วยส่งเนื้อหาเว็บไซต์และวิดีโอจากเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้กับผู้ใช้ โดย Edge Computing ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ไขข้อจำกัดของการประมวลผลแบบรวมศูนย์ในระบบ Cloud 

Edge Computing เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยแก้ไขข้อจำกัดของระบบคลาวด์ในหลายด้าน โดยนำการประมวลผลและการจัดเก็บข้อมูลเข้าใกล้แหล่งกำเนิดข้อมูลมากขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความเร็วในการทำงาน โดย Edge Computing ช่วยปรับปรุงการทำงานของระบบคลาวด์ในหลายด้านดังนี้ 

Edge Computing ช่วยลดความล่าช้าในการประมวลผลข้อมูลอย่างมีนัยสำคัญ โดยการนำการประมวลผลเข้าใกล้แหล่งกำเนิดข้อมูลมากขึ้น แทนที่จะส่งข้อมูลทั้งหมดไปยังศูนย์ข้อมูลกลางที่อยู่ห่างไกล การประมวลผลที่ขอบเครือข่ายช่วยให้การตอบสนองเร็วขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับแอปพลิเคชันที่ต้องการการตอบสนองแบบเรียลไทม์ เช่น ระบบควบคุมยานพาหนะอัตโนมัติ หรือระบบการผลิตอัจฉริยะ 

Edge Computing ช่วยลดปริมาณข้อมูลที่ต้องส่งผ่านเครือข่ายไปยังคลาวด์ โดยการประมวลผลและกรองข้อมูลที่ไม่จำเป็นออกก่อนที่จะส่งไปยังศูนย์ข้อมูลกลาง วิธีนี้ช่วยประหยัดทรัพยากรเครือข่ายและลดค่าใช้จ่ายในการส่งข้อมูล นอกจากนี้ยังช่วยลดความแออัดของเครือข่าย

การประมวลผลข้อมูลที่ต้นทางด้วย Edge Computing ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับข้อมูล เนื่องจากลดความเสี่ยงจากการส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายระยะไกล ข้อมูลที่มีความอ่อนไหวสามารถถูกประมวลผลและจัดเก็บในพื้นที่ใกล้เคียง ลดโอกาสที่ข้อมูลจะถูกดักจับหรือโจมตีระหว่างการส่งผ่านเครือข่าย  

ด้วยจำนวนข้อมูลปริมาณมหาศาลที่มีอยู่ในยุคปัจจุบัน ตามมาด้วยความต้องการการประมวลผล เรียกใช้ข้อมูล การมีเกิดขึ้นมาของ Edge Computing จึงช่วยกระจายการประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลไปยังอุปกรณ์ปลายทางหรือโหนดที่อยู่ใกล้แหล่งกำเนิดข้อมูล แทนที่จะส่งข้อมูลทั้งหมดไปประมวลผลที่ศูนย์ข้อมูลส่วนกลาง ซึ่งช่วยลดภาระได้อย่างมาก ช่วยให้สามารถประมวลผลข้อมูลได้อย่างรวดเร็วแบบเรียลไทม์ เนื่องจากอยู่ใกล้กับแหล่งข้อมูล ทำให้สามารถตอบสนองต่อข้อมูลได้ทันที ทำให้ลดภาระในด้านการส่งข้อมูลอีกทั้งทำให้ประหยัดแบนด์วิดท์และลดค่าใช้จ่ายในการส่งข้อมูล จึงสามารถรับมือกับปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในยุคปัจจุบันได้ 

Edge Computing เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเพื่อแก้ไขข้อจำกัดของระบบ Cloud Computing โดยเฉพาะในด้านความเร็วและการตอบสนองแบบเรียลไทม์ ในขณะที่ Cloud Computing ต้องส่งข้อมูลไปประมวลผลที่ศูนย์ข้อมูลระยะไกล Edge Computing นำการประมวลผลเข้าใกล้แหล่งข้อมูลมากขึ้น ซึ่งข้อแตกต่างระหว่างทั้ง 2 ระบบมีดังนี้ 

Edge Computing และ Cloud Computing มีความแตกต่างในเรื่องของตำแหน่งการประมวลผลข้อมูล Edge Computing ดำเนินการประมวลผลข้อมูลใกล้กับแหล่งกำเนิดข้อมูล เช่น อุปกรณ์ IoT เซ็นเซอร์ หรืออุปกรณ์ปลายทางอื่นๆ ในทางตรงกันข้าม Cloud Computing ทำการประมวลผลข้อมูลที่ศูนย์ข้อมูลกลางหรือเซิร์ฟเวอร์ระยะไกล

ความเร็วในการตอบสนองของ Edge Computing เมื่อเทียบกับ Cloud Computing เนื่องจาก Edge Computing ประมวลผลข้อมูลใกล้กับแหล่งกำเนิด จึงสามารถลดความหน่วงในการส่งข้อมูลไปกลับระหว่างอุปกรณ์และศูนย์ประมวลผล ส่งผลให้สามารถตอบสนองได้แบบเรียลไทม์หรือเกือบเรียลไทม์ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับแอปพลิเคชันที่ต้องการการประมวลผลทันที เช่น ระบบยานยนต์อัตโนมัติ หรือระบบควบคุมอุตสาหกรรม ในส่วนของ Cloud Computing อาจมีความหน่วงสูงกว่าเนื่องจากระยะทางในการส่งข้อมูลไปยังศูนย์ข้อมูลกลางและกลับมา  

Edge Computing มีข้อได้เปรียบในด้านการใช้แบนด์วิดท์เมื่อเทียบกับ Cloud โดย Edge Computing ช่วยลดปริมาณข้อมูลที่ต้องส่งผ่านเครือข่ายไปยังศูนย์ข้อมูลกลาง เนื่องจากสามารถประมวลผลและกรองข้อมูลส่วนใหญ่ที่ต้นทางได้ ทำให้ส่งเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นหรือผลลัพธ์สุดท้ายไปยังคลาวด์ ซึ่งช่วยประหยัดแบนด์วิดท์และลดค่าใช้จ่ายในการส่งข้อมูล ในทางตรงกันข้าม Cloud Computing มักจะต้องส่งข้อมูลดิบทั้งหมดไปยังศูนย์ข้อมูลกลางเพื่อประมวลผล ซึ่งอาจใช้แบนด์วิดท์จำนวนมาก 

ในด้านความปลอดภัยของข้อมูล Edge Computing มีข้อได้เปรียบเหนือ Cloud Computing ในหลายแง่มุม เนื่องจาก Edge Computing ประมวลผลข้อมูลอ่อนไหวในพื้นที่ใกล้กับแหล่งกำเนิดข้อมูล จึงลดความเสี่ยงที่ข้อมูลจะถูกดักจับหรือโจมตีระหว่างการส่งผ่านเครือข่าย  

ในแง่ของการขยายขนาด Cloud Computing มีข้อได้เปรียบเหนือ Edge Computing อย่างชัดเจน เนื่องจาก Cloud Computing สามารถเพิ่มหรือลดทรัพยากรการประมวลผลได้อย่างยืดหยุ่นตามความต้องการ โดยอาศัยโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของผู้ให้บริการคลาวด์ ทำให้รองรับการเติบโตของธุรกิจ การขยายในด้านของ Edge Computing อาจเป็นไปได้ยากกว่าและมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า เพราะต้องเพิ่มอุปกรณ์ Edge ใหม่ๆ ในหลายพื้นที่ 

Edge Computing เป็นเทคโนโลยีที่เหมาะสำหรับหลากหลายอุตสาหกรรมที่ต้องการการประมวลผลข้อมูลแบบเรียลไทม์และมีความหน่วงต่ำเช่น 

  • ยานยนต์อัตโนมัติ : ช่วยในการประมวลผลข้อมูลจากเซ็นเซอร์และกล้องเพื่อการตัดสินใจแบบเรียลไทม์ 
  • การดูแลสุขภาพ : สนับสนุนการเฝ้าระวังผู้ป่วยระยะไกลและการวินิจฉัยแบบเรียลไทม์ 
  • อุตสาหกรรมการผลิต : ช่วยในการตรวจสอบกระบวนการผลิต การบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์ และการควบคุมคุณภาพ 
  • การค้าปลีก : ปรับปรุงประสบการณ์การช้อปปิ้งด้วยระบบชำระเงินอัจฉริยะและการจัดการสินค้าคงคลังแบบเรียลไทม์ 
  • เมืองอัจฉริยะ : สนับสนุนการจัดการจราจร การเฝ้าระวังความปลอดภัย และการจัดการพลังงาน 
  • การเกษตร : สนับสนุนการเกษตรแม่นยำด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลจากเซ็นเซอร์ในแปลงเกษตร 

สุดท้ายนี้จะไม่พูดถึง AI ไม่ได้ เพราะในช่วงเวลานี้ แทบจะทุกอย่างนำ AI เข้ามาใช้เพิ่มประสิทธิภาพ ในด้านข้อมูลก็เช่นกัน เราสามารถนำ AI เข้ามาผสมผสานกับ Edge Computing ช่วยเพิ่มความสามารถในการวิเคราะห์และตัดสินใจแบบ Real-time โดย AI สามารถทำการตัดสินใจและวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างรวดเร็วที่ Edge โดยไม่ต้องส่งข้อมูลไปยัง Cloud ทำให้ระบบ IoT และอุปกรณ์อัจฉริยะต่างๆ มีประสิทธิภาพสูงขึ้น รวมถึงสามารถรองรับการใช้งานที่ต้องการการตอบสนองอย่างรวดเร็วได้ดียิ่งขึ้น โดย AI at the Edge จะเพิ่ม Performance ได้ดังนี้  

  • AI ที่ Edge สามารถกรองและประมวลผลข้อมูลเบื้องต้น ส่งเฉพาะข้อมูลสำคัญไปยัง Cloud ช่วยลดปริมาณข้อมูลที่ต้องส่งผ่านเครือข่าย 
  • ข้อมูลอ่อนไหวสามารถประมวลผลที่ Edge โดยไม่ต้องส่งไปยัง Cloud ช่วยเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล 
  • AI ที่ Edge สามารถเรียนรู้และปรับตัวตามสภาพแวดล้อมเฉพาะของอุปกรณ์นั้นๆ ทำให้การประมวลผลมีประสิทธิภาพมากขึ้น 

Cloud Computing และ Edge Computing ต่างก็มีจุดแข็งและข้อจำกัดของตัวเอง ดังนั้นผู้ใช้งานควรเลือกใช้ระบบอย่างเหมือนสมกับการใช้งาน หรือคุณอาจจะเลือกที่จะผสมผสานทั้งสองเข้าด้วยกัน จะยกตัวอย่างเช่น การพัฒนายานยนต์ไร้คนขับ เราใช้ Edge Computing ในการประมวลผลข้อมูลแบบเรียลไทม์ และใช้ Cloud สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก การผสมผสานทั้งสองเทคโนโลยีนี้ช่วยให้องค์กรสามารถใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของทั้ง Edge และ Cloud Computing ได้อย่างมีประสิทธิภาพได้ อีกทั้งหากเพิ่มเทคโนโลยี AI at the Edge เพิ่มเข้าไปก็จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดได้

ติดต่อเราเพื่อทดลองใช้งานหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่:
📞 Tel: 02-690-3888
📧 Email: sales@proen.co.th

Proudly powered by WordPress

Related Articles

DataCenter

Data Center ในยุค AI: การเตรียมพร้อมรับมือกับความต้องการประมวลผลที่พุ่งสูงขึ้น

ในยุคที่ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามามีบทบาทสำคัญในทุกอุตสาหกรรม Data Center กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ นั่นคือ ปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และความต้องการในการประมวลผลที่รวดเร็วขึ้น AI ไม่ได้เป็นเพียงแค่แอปพลิเคชันที่ใช้ทรัพยากรสูงเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานของ Data Center ไปโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่ สถาปัตยกรรมเซิร์ฟเวอร์ ระบบระบายความร้อน การจัดเก็บข้อมูล ไปจนถึงการใช้พลังงาน ต่อไปนี้คือแนวทางสำคัญที่ Data Center ต้องเตรียมพร้อมเพื่อรองรับ AI Workload ในอนาคต 

Read More
DataCenter

5 จุดหลักเกี่ยวกับ Data Center 

ศูนย์ข้อมูล (Data Center) เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในยุคดิจิทัล ซึ่งองค์กรทุกระดับใช้เพื่อจัดเก็บ ประมวลผล และบริหารจัดการข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ ต่อไปนี้คือ 5 หัวข้อหลัก ที่เกี่ยวข้องกับ Data Center

Read More